กระต่ายสามขา



"พระอาจารย์กลายร่างเป็นจระเข้"
ต้นตำนานของ :
วัดปากคลองพระอาจารย์
ตำบลบางสมบูรณ์
อำเภอองครักษ์ 
จังหวัดนครนายก

          เรื่องเล่าในตำนาน วัดปากคลองพระอาจารย์ จากปากต่อปากของชาวบ้านผู้มีถิ่นกำเนิด เกิด ณ ชุมชนบ้านปากคลองพระอาจารย์ และชาวบ้านในหมู่บ้านใกล้เคียงรวมทั้งที่อยู่ห่างไกลออกไป ได้จดจำและบันทึกไว้เป็นตำนานเล่าขานตรงกันสืบทอดต่อมา จนถึงทุกวันนี้
          นั่นคือเรื่องราวของ พระอาจารย์ ผู้ทรงอิทธิฤทธิ์และมีคาถาเวทย์มนต์ศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเป็นอดีตเจ้าอาวาสวัดปากคลองพระอาจารย์ ในยุคสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย ได้กลายร่างเป็นจระเข้ตัวใหญ่และหายตัวไปในแม่น้ำหน้าวัดปากคลองพระอาจารย์ ซึ่งเป็นที่มาแห่งประวัติและต้นตำนานของ วัดปากคลองพระอาจารย์ ตำบลบางสมบูรณ์ อำเภอองครักษ์ จังหวัดนครนายก  มาจนถึงยุคปัจจุบัน

          ในเช้าของวันหนึ่งพระอาจารย์กับลูกศิษย์ ได้ออกเดินบิณฑบาตโปรดญาติโยมตามปรกติ พระอาจารย์อุ้มบาตรเดินนำหน้า มีลูกศิษย์เดินตามหลัง ขณะที่เดินบิณฑบาตและรับอาหารบิณฑบาตไปได้สักระยะ

          วันนั้นมีชาวบ้านผู้มีอาชีพล่าสัตว์ขายได้มีจิตศรัทธา นำกระต่ายย่างหนึ่งตัว มาถวายใส่บาตรให้กับพระอาจารย์ เมื่อพระอาจารย์รับประเคนกระต่ายย่างตัวนั้นแล้ว ก็ส่งให้กับลูกศิษย์  เพื่อนำกระต่ายย่างตัวนั้นกลับไปฉันเช้าที่วัด

           ในระหว่างทางกลับวัด ความหอมของกระต่ายย่างที่เพิ่งย่างสุกใหม่ๆ ประกอบกับความหิว ที่ลูกศิษย์ของพระอาจารย์ มีเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ทำให้ลูกศิษย์ของพระอาจารย์รูปนี้ ไม่อาจสามารถทนกับกลิ่นหอมอันชวนกินของกระต่ายย่างตัวนี้ไปได้ เขาจึงค่อยๆแอบฉีกขาข้างหนึ่งของกระต่ายย่าง ตั้งแต่โคนขาจนถึงปลายขาถือไว้ในมือ และค่อยๆแอบใส่ปากกัดเคี้ยวกิน จนขากระต่ายย่างขานั้นเหลือแต่เพียงกระดูก จึงโยนทิ้งไป 
           ตลอดระยะทางที่เดินผ่านมากว่าจะกลับถึงวัด ลูกศิษย์ของพระอาจารย์เดินไปด้วยแอบกินขากระต่ายย่างไปด้วยอย่างเอร็ดอร่อยช่างมีความสุขเป็นยิ่งนัก 

           เมื่อกลับถึงวัด ก็นำกระต่ายย่างที่มีขาเหลืออยู่เพียงสามขา และอาหารคาวหวาน ที่ได้รับบิณฑบาต จัดสำรับกับข้าววางใส่ถ้วยชาม เตรียมพร้อมเพื่อไว้ให้พระอาจารย์ได้ฉันมื้อเช้าเช่นทุกวัน

           พอถึงเวลาฉันอาหาร พระอาจารย์ได้นั่งลงประจำอาสนะเรียบร้อยแล้ว สายตาก็พลันเหลือบไปเห็น กระต่ายย่าง ตัวที่ได้รับบิณฑบาต มาจากโยม  มีขาเหลืออยู่เพียง สามขา เท่านั้น พระอาจารย์ซึ่งรู้อยู่แล้วว่า เกิดอะไรขึ้นกับขากระต่าย แต่ต้องการลองใจลูกศิษย์ จึงแกล้งทำเป็นไม่รู้ แล้วได้ถามลูกศิษย์ ที่ไปบิณฑบาตกับท่านว่า กระต่ายตัวนี้ ทำไมขามันจึงเหลืออยู่เพียงสามขา แล้วขาอีกข้างหนึ่ง มันหายไปไหน

            ลูกศิษย์ของพระอาจารย์เพิ่งจะได้สติ เริ่มสำนึกในความผิด แต่ด้วยความหวาดกลัวที่มีอยู่มากกว่าความเกรงกลัวในความผิดที่แอบกินขากระต่ายย่างไปก่อนพระอาจารย์ จึงจำใจต้องทำปากแข็ง ตอบยืนยันไปกับพระอาจารย์ว่า กระต่ายตัวนี้ มีขาแค่สามขา ไม่ได้มีขาสี่ขา ตอนโยมถวายมา ก็มีแค่สามขา

            พระอาจารย์ก็พยายามถามซ้ำหลายๆครั้ง เพื่อให้ลูกศิษย์ยอมรับความจริง ครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ลูกศิษย์ก็ยังยืนกรานด้วยคำตอบเดิม คือ กระต่ายมีสามขา ไม่ได้มีสี่ขา

            หนึ่งวันผ่านไป สองวันผ่านไป จากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นปี พระอาจารย์ก็ถามคำถามเรื่องกระต่ายสามขากับศิษย์วัดคนนี้ อีกหลายต่อหลายครั้ง แต่ลูกศิษย์คนนี้ ก็ยังยืนยันว่า กระต่ายตัวนี้มีขาสามขา อยู่อย่างเดิม พระอาจารย์ ก็มาตริตรองใคร่ครวญนึกถึงไปว่า อืมม..ไอ้ลูกศิษย์คนนี้ มันเป็นคนปากแข็ง ใจแข็ง มีจิตใจมั่นคงแน่วแน่ กล้าหาญชาญชัย พูดคำไหนก็ยืนยันคำนั้น ไม่มีการเปลี่ยนแปลงในคำพูดของตนที่ได้พูดไปแล้ว คือพูดแล้วไม่ยอมกลับคำ

            พระอาจารย์กลับมองเห็นและคิดไปว่า ลูกศิษย์ของเราคนนี้ ถึงแม้ยังเป็นเด็กแต่มันก็เป็นเด็กที่มีจิตใจเด็ดเดี่ยว กล้าหาญ ไม่โลเล เคยพูดไว้อย่างไรก็ยังยืนยันคำพูดเดิมอยู่อย่างนั้น อย่ากระนั้นเลย เราจะทดลองให้วิชาแก่ลูกศิษย์คนนี้ดูสักครั้ง

            เมื่อคิดใคร่ครวญแล้ว อยู่มาวันหนึ่งพระอาจารย์จึงเรียกลูกศิษย์เข้ามาหาและถามแบบทีเล่นทีจริงว่า เอ็งอยากเข้าไปเที่ยวในวัง และอยากไปกินอาหารที่พระราชาทรงเสวย หรือไม่ ลูกศิษย์รีบตอบตกลงอย่างทันทีทันใด โดยไม่ต้องไตร่ตรองให้เสียเวลาแม้แต่น้อยว่า "อยากไปขอรับ"  พระอาจารย์ได้ยินเช่นนั้น จึงตอบว่า "ถ้ายังงั้นอาจารย์จะให้ของดีแก่เจ้าติดตัวเข้าไปในวัง เพื่อจะได้ไปกินอาหารของพระราชา กล่าวจบพระอาจารย์จึงเข้าไปหยิบ ผงแป้งวิเศษ ที่ได้ปลุกเสกแล้ว ให้กับลูกศิษย์ในทันที

            พระอาจารย์สั่งลูกศิษย์ว่า ผงแป้งนี้เป็นผงแป้งกายสิทธิ์ ใครก็ตามที่ได้นำ ผงแป้งกายสิทธิ์นี้ ชะโลมลูบไล้ทาให้ทั่วทั้งตัวแล้ว จะทำให้คนอื่นไม่สามารถมองเห็นร่างกายของเราได้ คือเราจะกลายเป็นมนุษย์ล่องหน หายตัวได้นั่นเอง ก่อนที่เอ็งจะเข้าไปในวัง ก็ให้เอาผงแป้งวิเศษกายสิทธิ์นี้ ชะโลมลูบไล้ทาตัวให้ทั่วเสียก่อนแล้วจึงเข้าไปในวัง

             เมื่อลูกศิษย์ได้ผงแป้งวิเศษไปแล้ว  ก็ทำตามที่พระอาจารย์บอกไว้ทุกประการ  ก่อนเข้าไปในวังก็ทาตัวด้วยผงแป้งวิเศษนั้น แล้วมุ่งหน้าเดินทางเข้าไปในวังหลวง เข้าไปเดินเล่นในวังหลวงเป็นเวลานาน โดยที่ไม่มีทหารหรือใครมองเห็น จากนั้นก็เข้าไปยังห้องเสวยพระกระยาหารของพระราชา  หยิบกินอาหารคาวอาหารหวานขนมนมเนยของพระราชากินจนอิ่มหนำสำราญ ก่อนที่พระราชาจะเข้ามาเสวย  
             
            ทำเช่นนี้ทุกมื้อทุกวันเป็นเวลาหลายวัน จนพระราชาเริ่มเคลือบแคลงสงสัยว่า ทำไมพระกระยาหารของพระองค์จึงพร่องไปบ้าง หายไปบ้าง ทั้งๆที่พ่อครัวในวังที่ปรุงอาหารมาถวายก็ได้จัดเตรียมมาเต็มสำรับทุกครั้ง แต่พอจะนั่งเสวยทีไร มองเห็นอาหารที่เตรียมไว้มันพร่องหายไปทุกครั้ง พระองค์จึงดำริในใจว่า เหตุการณ์เป็นแบบนี้ สงสัยจะมีผู้มีวิชาอาคม มาทดลองของกับเราเป็นแน่แท้ อย่ากระนั้นเลย เราจะต้องจับตัวไอ้คนที่มาลองของเรา แอบขโมยกินอาหารของเราให้ได้โดยเร็ววัน

             เมื่อดำริเช่นนั้นแล้วพระราชา จึงรับสั่งแก่พ่อครัวปรุงอาหารว่า ให้ปรุงอาหารในมื้อต่อไปของพระองค์ให้อร่อยที่สุด และให้มีรสเผ็ดจัดร้อนจัดให้มากที่สุด แล้วตั้งสำรับจัดเตรียมรอท่าไว้
             
             และแล้วก็ได้ผลตามที่พระองค์คาดการณ์ไว้จริงๆ  วันต่อมาเมื่อได้เวลา ก่อนที่พระองค์จะเสวยอาหาร ลูกศิษย์ของพระอาจารย์ ก็ชะโลมลูบไล้ทาตัวด้วยผงแป้งวิเศษ และเข้ามากินอาหารของพระราชาตามปกติ โดยไม่มีใครมองเห็นเช่นเดิม
             
            หยิบอาหารจากในจานนั้นกินบ้างจานนี้บ้าง ช่างถูกปากเอร็ดอร่อยเป็นนักหนา โดยหารู้ไม่ว่าขณะนี้ภัยอันตรายกำลังคืบคลานเข้ามาถึงตัวเข้าแล้ว ในขณะที่กำลังเอร็ดอร่อยในรสชาดของอาหารอยู่นั้น ภายในปากของเขาเริ่มมีความเผ็ดร้อนขึ้นตามลำดับ  แต่เขาก็ไม่ได้สนใจในความรู้สึกนั้น พยายามกินอาหารต่อไปอีกด้วยความอยากความอร่อยในอาหาร แบบที่ไม่เคยพบเคยกินมาก่อน
           
            จากความเผ็ดร้อนภายในปากบัดนี้มันได้แผ่ซ่านกระจายออกไปทั่วร่างกายแล้ว ละลายหยาดเหงื่อให้หลั่งไหลออกมานอกร่างกายของเขา จากทีละเล็กละน้อยค่อยๆมากขึ้นๆตามลำดับ โดยเขาไม่อาจรู้ตัวได้เลยว่า หยาดเหงื่อจำนวนมากของเขาได้ทำลายผงแป้งวิเศษที่เขาลูบไล้กายาให้ร่วงหลุดหายไปจากร่างกายของเขาจนหมดสิ้น
           
            บัดนี้มนตราและผงแป้งวิเศษได้เสื่อมคลายลงหมดสิ้นแล้ว ร่างกายของเขาก็ได้ปรากฎขึ้นต่อหน้าทหารและต่อหน้าองค์พระราชา ผู้ซึ่งกำลังเฝ้ามองเขาอย่างไม่คลาดสายตา
           "จับมันไว้ " พระราชาทรงรับสั่งให้ทหารจับตัวของลูกศิษย์พระอาจารย์ไว้ในทันทีทันใด เขาตกใจสุดขีดหน้าซีดเป็นไก่ต้ม คิดไม่ถึงว่า พระราชาและทหารของพระองค์จะเห็นเขา
           "เอามันไปจองจำและขังไว้ในคุก รอวันพรุ่งนี้แห่ประจานแล้วจึงประหารชีวิตเสีย" พระราชารับสั่งแก่ทหารเป็นวาจาสุดท้ายแล้วพระองค์ก็เดินจากไปโดยไม่ต้องมีการไตร่สวนใดๆให้ยุ่งยาก
            
            ความเรื่องนี้หาได้รอดพ้นจากการล่วงรู้ของพระอาจารย์ไม่ เพราะพระอาจารย์ท่านได้นั่งสมาธิเข้าฌานคอยติดตามลูกศิษย์เป็นประจำเสมอมา เมื่อรู้ว่าลูกศิษย์โดนจับได้ พระอาจารย์จึงรีบแปลงกายเป็น นกกระยาง บินเข้าไปในวัง เมื่อถึงเขตวังก็กลายร่างกลับเป็นพระอาจารย์เหมือนเดิม แล้วเข้าไปขออนุญาตทหารวัง เข้าไปเยี่ยมลูกศิษย์ในคุก
            
            เมื่อเข้าไปอยู่ต่อหน้าลูกศิษย์ หลังจากได้ซักถามพูดคุยกันพักใหญ่ พระอาจารย์จึงถามลูกศิษย์ด้วยคำถามเดิมๆว่า "กระต่ายมีกี่ขา"  ลูกศิษย์ก็ยังคงยืนกรานด้วยคำตอบเดิมๆ "มีสามขาขอรับ" พระอาจารย์ได้ฟังดังนั้นก็ไม่พูดอะไรต่อ หันไปขอน้ำเปล่า 1 ขัน จากทหาร พอได้ขันน้ำเปล่ามา พระอาจารย์จึงเสกมนต์คาถาอยู่พักใหญ่ แล้วเท ราด รด ลงไปบนร่างของลูกศิษย์ ร่างของลูกศิษย์ก็กลับกลายเป็น ลูกปลา ตัวเล็กๆดิ้นกระแด่วๆ
            
            จากนั้นพระอาจารย์จึงเสกคาถาอีกพักใหญ่ ร่างกายของพระอาจารย์ก็กลับกลายเป็น นกกระยาง ตัวใหญ่ ก้มลงไปใช้จะงอยปากคาบ ลูกปลา แล้วบินขึ้นสู่ท้องฟ้า ออกจากพระราชวังบินกลับมายังวัดปากคลองพระอาจารย์ ในทันที

           กาลเวลาผ่านไปหลายวัน พระอาจารย์มีความชอบใจรักใคร่ลูกศิษย์คนนี้มากยิ่งขึ้นไปอีก เพราะการเป็นคนมีสัจจะพูดคำไหนคำนั้นของลูกศิษย์ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงโลเล จึงทำให้พระอาจารย์ตั้งใจที่จะสอนวิชาแปลงร่าง ให้กับลูกศิษย์คนนี้อีกวิชาหนึ่ง ....
           
           และแล้ววันสำคัญก็มาถึง ช่วงเย็นของวันหนึ่ง พระอาจารย์ เรียกลูกศิษย์ให้เข้ามาหา แล้วบอกว่าจะมอบคาถาวิชาแปลงร่างให้กับลูกศิษย์ แต่ก่อนที่ลูกศิษย์จะได้รับคาถาแปลงร่างไป พระอาจารย์ท่านบอกกับลูกศิษย์ว่า เดี๋ยวพระอาจารย์จะแปลงร่างเป็นจระเข้ให้ดูก่อน แต่สิ่งสำคัญที่สุด ต้องใช้คาถาเสกทำน้ำมนต์คืนร่าง เตรียมรอไว้ เพราะหลังจากแปลงร่างเป็นจระเข้แล้ว ถ้าจะกลับคืนเป็นร่างกายเดิม ต้องใช้น้ำมนต์นี้ รดไปที่จระเข้นั้น แล้วพระอาจารย์ก็จะกลายร่างเป็นคนตามเดิม
           
            จากนั้นพระอาจารย์ก็พาลูกศิษย์เดินลงไปที่สะพานท่าน้ำหน้าวัด ให้ลูกศิษย์ตักน้ำมา 1 ขัน พระอาจารย์นั่งลงจุดเทียนบริกรรมภาวนาคาถา พร้อมกับหยดน้ำตาเทียนตกลงไปในขันน้ำ ซึ่งบัดนี้น้าในขันได้กลายเป็นน้ำมนต์อันศักดิ์สิทธิ์เรียบร้อยแล้ว พระอาจารย์ยกขันน้ำมนต์ส่งให้กับมือลูกศิษย์ถือขันน้ำมนต์ไว้ แล้วสั่งลูกศิษย์ว่า เมื่อพระอาจารย์แปลงร่างเป็นจระเข้ได้แล้ว รอสักอึดใจหนึ่ง ให้ลูกศิษย์เทน้ำมนต์รดมาที่ตัวจระเข้นั้น อาจารย์จะได้กลับกลายร่างเป็นคนตามเดิม
            
            ลูกศิษย์น้อมรับคำสั่งของพระอาจารย์ อุ้มขันน้ำมนต์ไว้ในมือแนบที่ท้อง ขณะที่พระอาจารย์ค่อยๆเริ่มทำสมาธิบริกรรมภาวนาคาถาบทใหม่ เวลาผ่านไปไม่นานนัก ร่างกายของพระอาจารย์ที่กำลังนั่งสมาธิภาวนาอยู่นั้นค่อยๆโค้งลงๆจนกระทั่งใบหน้าแนบชิดกับพื้นสะพานท่าน้ำ เพียงชั่วกระพริบตาร่างกายทั้งหมดของพระอาจารย์ได้กลับกลายเป็นจระเข้ตัวใหญ่มหึมา นอนเหยียดยาวอยู่ต่อหน้าต่อตาลูกศิษย์ 
           ในฉับพลันทันใดนั้นลูกศิษย์เกิดอาการตกใจกลัวขึ้นมาสุดขีด จนคุมสติตัวเองไม่อยู่ เกิดความกลัวจระเข้พระอาจารย์ขึ้นมาฉับพลัน และในทันทีทันใดนั้นขันน้ำมนต์ก็ร่วงหลุดจากมือ แล้วเขาก็รีบหันหลังกลับวิ่งหนีขึ้นสู่บนศาลาท่าน้ำ และพยายามวิ่งหนีต่อไปให้ไกลมากที่สุดอย่างคนขาดสติ เมื่อขันน้ำมนต์หลุดร่วงลงจากมือแล้ว น้ำมนต์ก็หกกระจัดกระจายไปทั่วพื้นศาลาท่าน้ำวัด ตัวขันน้ำมนต์ก็กระเด็นกระดอนไปคนละทิศละทาง อนิจจา...

            พระอาจารย์ในร่างจระเข้ ท่านอาจทราบหรือไม่ทราบ ในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวของลูกศิษย์และตัวของท่านเอง ซึ่งพวกเราก็ไม่สามารถล่วงรู้วาระจิตของท่านได้  เป็นเวลานานพอสมควรที่ท่านนอนสงบนิ่งอยู่ตรงนั้น จนทุกสิ่งทุกอย่างมืดมิดเงียบสนิท ท่านจึงได้ขยับกายมุ่งตรงลงสู่แม่น้ำหน้าวัดปากคลองพระอาจารย์ และว่ายน้ำจมหายไปตามสายน้ำ เหลือไว้แค่เพียงความทรงจำ นั่นคือตำนานของวัดปากคลองพระอาจารย์ ที่คนแก่คนเฒ่าได้เล่าสู่ลูกหลานได้รับฟัง จนกระทั่งถึงทุกวันนี้.


ปัญญา วิมุตติ

(รวบรวมและเรียบเรียงจากคำบอกเล่าของหลวงปู่หลวงตาและผู้เฒ่าบ้านปากคลองพระอาจารย์)                                                  

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น